เทคนิคพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ตอน ความสำคัญของตัว S

เทคนิคพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ตอน ความสำคัญของตัว S
   ถ้าถามถึงตัวอักษร S ในภาษาอังกฤษ คนทั่วไปจะนึกถึงอะไร คำตอบที่ได้อาจจะแตกต่างกันไปตามสถานการณ์และประสบการณ์ เช่น ถ้าถามคอภาพยนตร์ จะนึกถึงบรรดาเหล่า Superheroes อย่างเช่น Superman หรือ Spiderman ซุปเปอร์ฮีโร่ผู้คอยพิทักษ์โลกของเรา แต่ถ้าถามคนในวงการบันเทิง จะนึกถึง Superstar  หรือที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากจะเป็นซุปตาร์ของเมืองไทย แต่ถ้าถามคนในวงการธุรกิจ จะนึกถึง SME (Small and Medium Enterprise) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แต่สำหรับครูภาษา คำตอบที่ได้ คือ S เป็นตัวอักษรที่มีควมสำคัญมากต่อไวยากรณ์ คำศัพท์ และการออกเสียงในภาษาอังกฤษ
   ในส่วนของไวยากรณ์ ตัวอักษร S มีความสำคัญในเรื่อง Tense (กาลภาวะ) ที่เป็น Present simple Tense  (ปัจจุบันกาล) แสดงถึงเหตุการณ์ที่เป็นความจริงทั่วไป หรือเกิดขึ้นเป็นประจำ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่องกฎการผันกริยาตามประธานเอกพจน์หรือพหูพจน์ (Subject-Verb Agreement) ตามหลักที่ว่า ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ ๓ เช่น He, She, It,  A dog หรือ The boy กริยาที่ตามมาจะต้องเติม s หรือต้องเติม es หลังคำกริยาที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, หรือ o ตัวอย่างเช่น

He passes the test.
The boy watches television every day.
She usually goes shopping at the mall.
   นอกจากนี้ S ยังมีความสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ มีผลต่อการเปลี่ยนชนิดของคำ (part of speech) จากที่เป็นคำนาม (noun) มาทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) ในกรณีที่คำนามทำหน้าที่บอกคุณค่า น้ำหนัก เวลา หรือการวัด ทำเป็นคำเดียวกับจำนวนนับโดยใช้ขีด - (hyphen) คั่นไว้ ถือเป็นคำคุณศัพท์ จึงไม่ต้องเติม S ตัวอย่างเช่น
This trip lasts seven days. It is a seven-day trip.
   จะสังเกตุได้ว่า days ในประโยคแรก ทำหน้าที่เป็นคำนามแสดงให้เห็นว่า เป็นเวลา ๗ วัน แต่ในประโยคที่สอง day ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนาม ในที่นี้ขยายคำว่า trip จึงไม่มีการเติม S และมีการใช้เครื่องหมาย - คั่น ระหว่างคำว่า seven และ day
   สำหรับเรื่องคำศัพท์ จะมีการเติม S หลังคำศัพท์ เพื่อแสดงถึงความเป็นพหูพจน์ (Plural) โดยปกติเราจะเห็นว่า การเปลี่ยนคำนามจากเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์มี ๒ แบบ คือ การเปลี่ยนรูปโดยสิ้นเชิง เช่น man เป็น men หรือ child เป็น children และเติม s หรือ es หลังคำศัพท์ได้เลย เช่น gift เป็น gifts หรือ bus เป็น buses
   แต่คำบางคำในภาษาอังกฤษที่ต้องควรระวังเป็นพิเศษ คือ ลงท้ายด้วย s เหมือนเป็นคำนามพหูพจน์ แต่ตัวมันเป็นเอกพจน์ก็ได้ เช่น means, series คำเหล่านี้เป็นได้ทั้งเอกพจน์หรือพหูพจน์ หรือแม้กระทั่งคำว่า news (ข่าว) เราจะใช้เป็นเอกพจน์เสมอ ถึงแม้จะมี S ลงท้ายก็ตาม
   S ยังมีบทบาทในการทำให้คำศัพท์เหล่านี้เป็นรูปพหูพจน์เสมอ เช่น trousers (กางเกงขายาว) shorts (กางเกงขาสั้น) eyeglasses (แว่นสายตา) sunglasses (แว่นตากันแดด) shoes (รองเท้า) เป็นต้น
   คำศัพท์บางคำจำเป็นต้องเติม s เสมอ แต่มีหลายคนมองข้ามความสำคัญนี้ไป เช่น คำว่า Congratulations เราจะสังเกตุเห็นจากงานวันรับปริญญา ที่จะมีคนเขียนป้ายแสดงความยินดีให้กับบัณฑิตของมหาวิทยาลัยต่างๆ บ้างก็เขียนถูก บ้างก็เขียนผิด โดยเขียนว่า Congratulation ซึ่งที่ถูกต้อง จะต้องเขียนว่า Congratulations นอกจากนี้ยังมีคำวิเศษณ์แสดงความถี่ (Adverb of Frequency) คือ sometimes (บางครั้ง) และ always (เสมอ) ซึ่งก็มีผู้ใช้บางคนลืมเติม s หรือคำว่า upstairs (ชั้นบน) downstairs (ชั้นล่าง) overseas (ต่างประเทศ) nowaday (ปัจจุบันนี้) รวมถึงชื่อวิชาต่าๆ เช่น Mathematics (คณิตศาสตร์) Economics (เศรษฐศาสตร์) หรือ Physics (ฟิสิกส์) และในกรณีคำบางคำที่ต้องทำหน้าที่เป็นคำวิเศษณ์ เช่น indoors (ในร่ม) และ outdoors (กลางแจ้ง) เป็นต้น
   สุดท้ายในเรื่องการออกเสียง คำว่า S โดยส่วนใหญ่จะออกเสียงเป็น /ซ/ เช่น sour six หรือ /ส/ เช่น skin sky แต่มีบางคำที่อาจจะไม่ออกเสียงตามปกติ เช่นคำว่า sugar บางคนมักออกเป็นซูการ์ ไม่แน่ใจว่าจำมาจากคำว่า ซูกัส หรือไม่ ที่จริงแล้วจะออกเสียงว่า ชูการ์ หรือคำว่า sure ต้องออกเสียงเป็น ชัว ไม่ได้ออกเสียงว่า ซัว ทั้งๆ ที่รูปของมันเป็น S
   นอกจากนี้ S ยังมีความสำคัญในการออกเสียงด้วย ในกรณีที่เติม S หลังคำศัพท์ต่างๆ ที่มีพยัญชนะลงท้ายด้วย f p k t จะออกเสียงเป็น /S/ เช่น roofs sleeps writes walks เป็นต้น และจะออกเสียงเป็น /Z/ เมื่อคำศัพท์นั้นมีพยัญชนะลงท้ายด้วย b d g l m n r v w และ ee เช่น needs robs sings sees เป็นต้น และจะออกเสียงเป็น /az/ เมื่อเติม es หลังคำศัพท์ซึ่งมีพยัญชนะลงท้ายด้วย s z sh ch เช่น classes (คลาสเซิส) brushes (บรัชเซิส) teaches (ทีชเซิส) เป็นต้น
   สรุปแล้ว จะเห็นได้ว่า  S มีบทบาทสำคัญในภาษาอังกฤษในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไวยากรณ์ คำศัพท์ หรือแม้กระทั่งการออกเสียง เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เราใช้ภาษาอังกฤษ เราควรตระหนักถึงความสำคัญของ S เสมอ เพื่อจะได้ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น