กฎหมายใกล้ตัว เรื่อง หนังสือรับสภาพหนี้

กฎหมายใกล้ตัว เรื่อง หนังสือรับสภาพหนี้
   โดยพฤติกรรมของผู้ที่จะมาปรึกษากฎหมายนั้น แปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือมักจะค้นหาข้อมูลด้วยการเปิดกูเกิ้ล แล้วศึกษาเรื่องเหล่านั้นมาจนละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จนบางครั้งผู้เขียนรู้สึกว่า คนที่มาขอคำปรึกษา อาจเข้าใจเรื่องนั้นๆ ดีกว่าผู้เขียนเสียอีก บ้างก็เป็นข้อมูลที่ผู้เขียนไม่เคยรู้มาก่อน หรือบางท่านมาไล่ตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ผู้เขียนฟัง พรางนึกในใจว่า ถ้ารู้ขนาดนี้แล้ว ไม่น่ามาปรึกษาผู้เขียนเลย
   แต่สิ่งที่ทำให้นักกฎหมายไม่เสียฟอร์ม และสามารถยืนหยัดเป็นนักกฎหมายได้นั้น ไม่ใช่เพียงแค่ตัวบทกฎหมาย หากแต่ต้องรู้หลักการตีความของกฎหมายด้วย เมื่อมีคนมาปรึกษากฎหมาย สิ่งที่จำเป็นมาก คือ ต้องเก็บข้อมูลของผู้ที่มาปรึกษาว่า มาปรึกษาเรื่องอะไร มีกฎหมายใดเกี่ยวข้องบ้าง และหลักการตีความของกฎหมายในเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างไร โดยขอยกอุทาหรณ์ประกอบ ดังนี้

   สมมุตว่าชื่อ นาย ก. ก็แล้วกันนะครับ นาย ก. มาปรึกษากฎหมายเกี่ยวกับสัญญากู้ยืมเงิน สำหรับเรื่องกู้ยืมเงิน ถือเป็นเรื่องที่เป็นคดีความยอดฮิตเลยก็ว่าได้ โดย นาย ก. ได้เล่าข้อเท็จจริงให้ฟังว่า ไปกู้เงินนอกระบบมาประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ และก็ดื้อแพ่งด้วยการไม่ชำระเงินมาโดยตลอด ๓ ปีต่อมา เจ้าหนี้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน นาย ก. เกรงว่าจะเป็นความกัน จึงไปทำ "หนังสือรับสภาพหนี้" โดยตกลงกันว่า จะชำระหนี้ดังกล่าวเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๕,๕๐๐ บาท จนกว่าจะชำระหมด แต่เมื่อชำระไปแล้ว ๓ เดือน นาย ก. ไปอ่านเจอในกูเกิ้ล ว่า "การกู้ยืมเงินกันเกินกว่า ๒,๐๐๐ บาท หากไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อที่ต้องรับผิดชอบเป็นสำคัญ จะไม่สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้" ด้วยความที่ นาย ก. ไม่ต้องการที่จะชำระหนี้ พอเห็นข้อความลักษณะดังกล่าว ก็จัดการบันทึกข้อมูลลงในกระดาษและปริ้นเก็บไว้ และนำเอกสารดังกล่าวมาให้ผู้เขียนดูด้วย
   แต่ในขั้นต้นนี้ นาย ก. ไม่ได้เล่าข้อเท็จจริงให้ผู้เขียนฟังทั้งหมด แต่เหมือนมาถามข้อกฎหมาย เพื่อความแน่ใจโดยการตั้งคำถามว่า "สมมุติว่ากู้เงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่ทำสัญญากันไว้ เจ้าหนี้ฟ้องได้ไหม" ผู้เขียนก็ต้องยกประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา ๖๕๓ ขึ้นตอบว่า "ไม่" ทำให้ นาย ก. กระหยิ่มยิ้มย่องใหญ่ โดยเชื่อว่าข้อมูลที่ได้ศึกษามา จะทำให้ตนเองหลุดพ้นจากการชำระหนี้ และจะไม่ต้องชำระหนี้ต่อไป แต่พอ นาย ก. หลุดปากออกมาว่า "ไม่น่าไปเสียโง่ผ่อนให้มันเลย ตั้งหลายเดือน" ผู้เขียนก็ทำลายความสุขของ นาย ก. ในทันที่ โดยถามว่า ข้อเท็จจริงเรื่องที่ถาม เป็นอย่างไรกันแน่
   เมื่อได้ฟังข้อเท็จจจริงทั้งหมด ก่อนที่ผู้เขียนจะอธิบายข้อกฎหมายให้ฟัง ผู้เขียนก็อดชื่นชม นาย ก. ไม่ได้ ที่อุตส่าห์ไปค้นข้อกฎหมายเพื่อพิทักษ์สิทธิของตนตามกฎหมาย พร้อมกับอธิบายว่า จริงอยู่ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีมากถึง ๑๗๕๕ มาตรา แต่มาตราที่สำคัญ มีเพียง ๒ มาตราเท่านั้น คือ
๑. มาตรา ๖ บัญญัติว่า "ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต" และ
๒. มาตรา ๑๕๑ บัญญัติว่า "การใดเป็นการแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมาย ถ้ามิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นไม่เป็นโมฆะ"
   นาย ก. นั้น ก็เกิดความสงสัยว่า แค่ ๒ มาตรานี้ จะตอบปัญหาได้อย่างไร ผู้เขียนจึงต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า ในขั้นแรก จริงอยู่ นิติกรรมการกู้ยืมระหว่างท่าน ในฐานะลูกหนี้กับเจ้าหนี้ ในฐานะคู่สัญญา เป็นนิติกรรมการกู้เงินที่เกินกว่า ๒,๐๐๐ บาท เมื่อนิติกรรมดังกล่าว ไม่มีหลักฐานลงลายมือชื่อท่าน ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิด เจ้าหนี้ก็ไม่อาจฟ้องร้องดำเนินคดีต่อท่านได้ ตามคำถามที่ท่านสมมุติเมื่อสักครู่ แต่... เมื่อผู้เขียนพูดคำว่า แต่ สีหน้าและแววตาของ นาย ก. ก็เกิดความวิตกอย่างชัดเจน พร้อมกับถามคำถามว่า "อ้าว มีแต่ด้วย แบบนี้กฎหมายก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์สิ" ผู้เขียนจึงอธิบายต่อไปว่า ปัญหามันเกิดตั้งแต่ท่านยินยอมลงลายมือชื่อในสัญญารับสภาพหนี้นั้น สิทธิ หน้าที่ ที่ท่านมีตามที่ท่านอุตส่าห์ค้นมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ มันสูญหายไปตั้งแต่ท่านได้ลงนามในเอกสารรับสภาพหนี้นั้นแล้ว และคำถามที่ว่า กฎหมายศักดิ์สิทธิ์หรือไม่นั้น กฎหมายแพ่งเป็นกฎหมายเอกชน ไม่ได้มีมาเพื่อสร้างความเด็ดขาดอย่างกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายมหาชน หลักกฎหมายแพ่งนั้น ถือหลักความศักดิ์สิทธิ์แห่งการแสดงเจตนา โดยให้ความเสมอภาคของคู่สัญญา (The Doctrine of Freedom of contract and Autonomy of will) เมื่อคู่สัญญาทั้ง ๒ ฝ่าย แสดงเจตนาอันกฎหมายสันนิษฐานไว้แล้วว่าคู่สัญญากระทำการโดยสุจริต (มาตรา ๖) แม้การนั้นจะแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมาย หากมิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นก็สามารถบังคับได้ (มาตรา ๑๕๑) ยังผลให้เกิดสัญญา โดยนับจากนั้น สัญญาต้องเป็นสัญญา (Pacta sunt servanda) กล่าวคือ แม้เดิมในทางกฎหมาย สัญญาระหว่างท่านกับเจ้าหนี้ เป็นสัญญาเงินกู้ที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ก็ตาม แต่เมื่อท่านไปลงนามในหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวแล้ว สิทธิดังกล่าวของท่าน จะสูญหายไปในทันที ต้องมาบังคับกันตามสัญญารับสภาพหนี้ดังกล่าวต่อไป
   นาย ก. บ่นด้วยความเสียใจ ว่าไม่น่าเลย รู้อย่างนี้ ไม่ลงชื่อในสัญญาเสียก็ดี เสียโง่อีกแล้ว และถามคำถามผู้เขียนว่า สมมุติว่า ถ้าไม่จ่ายจะเกิดอะไรขึ้น ผู้เขียนเลยตอบไปสั้นๆ ว่า ท่านยังไม่เข็ดกับเรื่องสมมุติอีกใช่ไหม ... เรื่องเล่ากฎหมายใกล้ตัว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น