กฎหมายใกล้ตัว เรื่อง หนี้มรดก

กฎหมายใกล้ตัว เรื่อง หนี้มรดก
   หากจะกล่าวถึงมรดก คงเป็นสุดยอดปรารถนาของใครหลายๆ คน ทำให้หวนคิดไปถึงคดีความที่เคยมีท่านหนึ่งมาปรึกษาเกี่ยวกับมรดกไม่ได้ ซึ่งก็นับได้ว่า ไม่น้อยนักที่จะมีคนมาปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ และที่เป็นคดีฟ้องร้อง และมาขอปรึกษามากที่สุดก็เป็นมรดกอีกประเภทหนึ่ง นั่นคือ "หนี้มรดก"  โดยหลักของกฎหมายแล้ว ผู้ใดก่อหนี้ขึ้น ผู้นั้นก็ย่อมมีหน้าที่ ต้องชดใช้ แต่เมื่อเกิดกรณีลูกหนี้เสียชีวิตลง การที่จะให้เจ้าหนี้ไปเคาะฝาโลงเพื่อทวงหนี้ การกระทำแบบนั้น ยังไม่มีหลักประกันใด มารับรองว่าเจ้าหนี้จะได้รับการชำระหนี้ ครั้นจะให้ทายาทรับชำระหนี้แทนทั้งหมด ก็ผิดหลักการของกฎหมายที่ว่า ผู้มีหนี้ต้องชดใช้ เพื่อเยียวยาความเสียหายทั้ง ๒ ฝ่าย กฎหมายจึงต้องบัญญัติมารับรองเรื่องดังกล่าว โดยบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งว่า
"มาตรา ๑๖๐๐ ภายใต้บัญญัติของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่างๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้"
   เมื่อกฎหมายได้บัญญัติรับรองว่า "กองมรดกของผู้ตาย ได้แก่
ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่างๆ" และ "หนี้" ก็คือ สิทธิหน้าที่ และความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง ที่ลูกหนี้มีหน้าที่ต้องชำระต่อเจ้าหนี้ หนี้จึงตกเป็นมรดกตกทอดให้แก่ทายาท แต่เจ้าหนี้ทั้งหลายอย่าเพิ่งดีใจไป กฎหมายไม่ได้ใจดีกับท่านนักหรอก เพราะกฎหมายยังไม่ทิ้งหลักการที่ว่า ผู้มีหนี้ต้องชดใช้ จึงกำหนดให้สิทธิเจ้าหนี้ไว้ในมาตรา ๑๗๓๔ ให้มีสิทธิแต่เพียงว่า "เจ้าหนี้กองมรดกชอบแต่จะได้รับการชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น" บทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่า จริงอยู่ที่ว่าหนี้นั้นเป็นกองมรดก ที่จะตกทอดแก่ทายาท แต่เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้เท่าที่เป็นหนี้กันอยู่จริง แต่ไม่เกินกว่าทรัพย์สินมีอยู่ในกองมรดกเท่านั้น หากผู้ตายไม่มีทรัพย์สินอันใดเป็นมรดกที่จะตกให้แก่ทายาทเลย มีแต่เพียงหนี้เท่านั้น เจ้าหนี้ก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ และไม่เพียงเท่านั้น กฎหมายยังจำกัดสิทธิของเจ้าหนี้อีกโดยกำหนดระยะเวลาฟ้องร้อง หรือเรียกภาษากฎหมายว่า อายุความไว้สั้นๆ เพียง ๑ ปี โดยเริ่มนับตั้งแต่เจ้าหนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ดังที่บัญญัติไว้ว่า
"มาตรา ๑๗๕๔ ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก"
    คดีฟ้องเรียกตามข้อกำหนดพินัยกรรม มิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อผู้รับพินัยกรรมได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงสิทธิซึ่งตนมีอยู่ตามพินัยกรรม
  ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๑๙๓/๒๗ แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกมีกำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี มิให้เจ้าหนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก
ถึงอย่างไรก็ดี สิทธิเรียกร้องตามที่ว่ามาในวรรคก่อนๆ นั้น มิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย"
   จากข้อกฎหมายดังกล่าวมีผลอย่างไร ผู้เขียนขอยกตัวอย่างคดี คดหนึ่ง เมื่อกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ที่เคยมีท่านหนึ่งถือสำนวนคำฟ้องมาปรึกษา ซึ่งท่านนั้นตกเป็นจำเลยในคดีแพ่ง ในฐานะทายาท โดยในปี ๒๕๔๙ บิดาของท่านได้ไปกู้เงินจำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อมาทำฟาร์มเลี้ยงไก่ ปรากฏว่าขาดทุน และเสียชีวิตในปี ๒๕๕๑ และเจ้าหนี้ได้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องเมื่อ มกราคม ๒๕๕๓ และผู้เขียนได้ตรวจสอบเบื้องต้นว่า ใครเป็นลูกหนี้ ได้ความว่า บิดาของท่านแต่เพียงผู้เดียวที่เป็นลูกหนี้ ไม่มีคนอื่นร่วมด้วย และไม่มีการจัดผู้ใดเป็นผู้ค้ำประกันแต่อย่างใด และผู้เขียนได้ถามเพิ่มเติมว่า แล้วบิดาท่านทิ้งอะไรไว้เป็นมรดก ได้ความว่า มีที่นา ๓ ไร่ แต่เป็นที่นาที่เช่าจากเจ้าหนี้ เพื่อมาทำฟาร์มเลี้ยงไก่ และภายหลังจากเสียชีวิต ได้ส่งคืนแล้ว และมีทรัพย์สินอื่นๆ อีกหลายรายการแต่ราคาไม่สูงมาก ตีราคารวมๆ กันไม่ถึง ๕๐,๐๐๐ บาท
   ผู้เขียนจึงสรุปให้ฟังว่า หนี้ดังกล่าว บิดาท่านก่อหนี้ไว้จึงมีหน้าที่ต้องใช้หนี้ เมื่อบิดาของท่านตายลง หนี้ดังกล่าวต้องตกทอดแก่ทายาท ซึ่งก็คือท่าน แต่เจ้าหนี้สิทธิได้รับชำระหนี้เท่าที่ท่านได้รับมรดก ถ้าตามที่ท่านอ้าง ก็ประมาณ ๕๐,๐๐๐ บาทเท่านั้นเอง แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า บิดาของท่านได้เช่าที่ดินจากเจ้าหนี้เพื่อทำฟาร์มเลี้ยงไก่ และได้ส่งคืนไปแล้ว หลังจากที่บิดาท่านเสียชีวิต เจ้าหนี้ย่อมรู้ว่า บิดาท่านได้เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ แม้เดิมอายุความเรื่องหนี้ จะมีอายุความ ๑๐ ปีก็ตาม อันเป็นกรณีสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ อันมีต่อเจ้ามรดก มีกำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี กฎหมายได้บัญญัติห้าม มิให้เจ้าหนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ ถึงความตายของเจ้ามรดก เมื่อเข้าลักษณะดังกล่าว ผู้เขียนจึงชี้เลยว่า คดีนี้ ขาดอายุความ ท่านไม่ต้องรับชำระเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ในเรื่องอายุความในทางแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่ถือว่าเป็นเรื่องขัดต่อกฎหมายอันเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลไม่อาจหยิบยกขึ้นมาพิจารณาได้เอง เหมือนคดีอาญา ท่านจึงมีความจำเป็นต้องให้การต่อสู้คดี โดยต่อสู้เพียงสั้นๆ ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
   ผู้เขียนได้รับคำขอบคุณคำโตๆ แล้วท่านนั้นก็จากไป และมาแจ้งในภายหลังว่า ศาลยกฟ้องโจทก์ เนื่องจากขาดอายุความ โดยได้จ้างทนายเขียนคำให้การค่าจ้างหลักหมื่น ข้อความตามคำแนะนำของผู้เขียน ผู้เลยกระซิบข้างหูเบาๆ ว่า แค่คำให้การ ผมก็เขียนเป็นนะ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น