กฏหมายใกล้ตัว ตอน เก็บทรัพย์สินได้ ไม่คืนเจ้าของเสี่ยงติดคุกกกก
ข่าวพลเมืองดีเก็บของมีค่าต่างๆ ได้ แล้วนำไปคืนเจ้าของ เมื่อเราได้รับฟังข่าวในลักษณะนั้น ก็อดชื่นชมในความซื่อสัตย์สุจริตของบุคคลเหล่านั้นมิได้ แล้วเลยมองย้อนมาถึงตัวเราว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ลักษณะนั้นกับตัวเรา จะปฏิบัติอย่างไร จะนำไปคืนหรือประกาศหาเจ้าของหรือไม่ และบางครั้งก็อาจเกิดคำถามในใจว่า แล้วถ้าเอาไปคืน เราจะได้รับอะไรเป็นการตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่ แล้วทำไมเราต้องเอาไปคืน และก็มีไม่น้อยที่เก็บได้ และคิดว่าฟ้าประทานของขวัญมาให้ โดยคิดว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในของนั้น และจะใช้ทรัพย์นั้นอย่างใดก็ได้ และไม่จำเป็นต้องคืนท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ ในทางกฎหมาย ทรัพย์สินที่เก็บได้นั้น นอกจากจะมิใช่ของขวัญที่ฟ้าประทานให้แล้ว กลับยังเป็นวิบากกรรมที่ผู้เก็บได้ต้องค้นหาเจ้าของและส่งคืนเจ้าของอีกด้วย ซึ่งหากผู้เก็บได้ยังคิดว่าตนมีสิทธิ์ในของนั้น และไม่ยอมคืน นั่นเป็นสัญญาณแจ้งว่า ฟ้ากำลังประทานข้อหา "ลักทรัพย์ หรือยักยอก" มาให้แล้ว และผลวิบากกรรมดังกล่าว อาจต้องเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ต้องหา เป็นจำเลย หรือต้องเปลี่ยนสถานที่นอนเป็นคุก เป็นตารางไปเสียอย่างนั้น ซึ่งหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้
๑. ความผิดฐานลักทรัพย์ มาตรา ๓๓๔ บัญญัติว่า "ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี และปรับไม่เกิน ๖,๐๐๐ บาท" หลายคนเมื่อได้อ่านข้อกฎหมายข้างต้นแล้ว โต้แย้งอยู่ในใจว่า ในเมื่อเป็นการเก็บของหายได้จะเป็นการลักทรัพย์ได้อย่างไร ซึ่งอธิบายได้ว่า กรณีของหาย เจ้าของทรัพย์ย่อมต้องพยายามติดตามค้นหา เพื่อให้ได้ทรัพย์นั้นกลับคืนมา ซึ่งการติดตามค้นหานั้น เป็นการแสดงว่า เจ้าของทรัพย์ไม่ได้สละกรรมสิทธิ์และการครอบครอง ทำให้กรรมสิทธิ์และการครอบครองทรัพย์ จึงอยู่ที่เจ้าของเหมือนเดิม เมื่อมีผู้เก็บได้ และเอาทรัพย์นั้นมาเป็นของตนเสีย การกระทำดังกล่าว จึงเป็นการเอาไปเสียซึ่งทรัพย์ของบุคคลอื่นโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา
๒. ความผิดฐานยักยอก มาตรา ๓๕๒ บัญญัติว่า "ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่เกิน ๖,๐๐๐ บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ" ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหาย ซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง ความผิดฐานยักยอก องค์ประกอบของความผิดจะคล้ายๆ กับความผิดฐานลักทรัพย์ แต่มีข้อแตกต่างที่สำคัญคือ อำนาจครอบครองในทรัพย์มาอยู่ที่ผู้กระทำความผิด แล้วเบียดบังเอามาเป็นของตน ซึ่งอาจเกิดได้ในกรณีที่ผู้กระทำของหายไม่ทราบว่า หายที่ใด และไม่ได้ติดตามค้นหาอย่างใกล้ชิด หรือระยะเวลาผ่านพ้นไปนานแล้ว แม้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์จะไม่โอนไปยังผู้เก็บได้ แต่ความครอบครองได้โอนไปแล้ว เมื่อผู้เก็บได้เอาไปเป็นของตน แทนที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ก็เปลี่ยนไปเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์แทน
จากคำพิพากษาทั้งสองแนว ผู้เก็บได้แล้วไม่คืน มีความผิดอาญาทั้งสิ้น แต่จะผิดฐานลักทรัพย์ หรือยักยอก ต้องพิจารณาจากอำนาจการครอบครองทรัพย์ ว่าในขณะเอาไปเป็นของตน การครอบครองทรัพย์อยู่ที่ใคร
- คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๖๐/๒๕๐๓ ได้วางแนวคำพิพากษาไว้ว่า ทรัพย์สินหายเป็นเรื่องที่ทรัพย์หลุดพ้นไปจากความยึดถือของเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยมิได้ตั้งใจ ไม่ใช่เรื่องสละการครอบครอง ผู้ใดเก็บเอาทรัพย์นั้นไป จะเป็นการลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์สินหาย ต้องพิจารณาตามพฤติการณ์เป็นรายๆ ไป คือ ถ้าเก็บเอาไปโดยรู้หรือควรรู้ว่าทรัพย์นั้น เจ้าของกำลังติดตามหรือจะติดตาม เพื่อเอาคืนเป็นลักทรัพย์ ถ้าไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้ เป็นยักยอกทรัพย์สินหาย เช่น รถทหารคว่ำ ทำให้ปืนทหารตกน้ำ ๑ กระบอก ทหารทำการงมหา ๒ ครั้ง แต่ไม่พบ จึงไปแจ้งความที่อำเภอ ต่อมาค่ำวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยไปงมเอาปืนนั้นขึ้นมาขายเสีย แสดงว่าจำเลยรู้หรือควรรู้ว่า รถทหารคว่ำปืนจมน้ำอยู่ แล้วถือโอกาสตอนปลอดผู้คนไปงมเอาปืนที่อยู่ในระหว่างเจ้าของกำลังติดตาม เพื่อเอาคืน จึงผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งกล่าวได้ว่าถ้ามาหาครั้งที่ ๓ จะพบปืนได้ ถือได้ว่า มีเหตุขาดจากการยึดถือปืนเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
- คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๔/๒๔๙๑ ได้วางแนวไว้ว่า ผู้โดยสารลืมผ้าขาวม้า ๑ ผืน ไว้ในรถสามล้อ คนขับรถไม่รู้ว่าของใครมาลืมไว้เมื่อใด จึงเก็บเอาไว้เสีย เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหาย
บทความนี้ อาจเป็นแรงกระตุ้นให้กระทำความดีด้วยการเก็บของได้ แล้วนำส่งคืน ซึ่งนอกจากจะได้รับความชื่นชมจากสังคมแล้ว ยังรอดพ้นจากการตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาอีกด้วย ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมทั้งความรู้ด้านกฎหมายและคุณธรรมภายในใจคน การเผยแพร่บทความนี้ น่าจะสามารถกระตุ้นเตือนให้มีพลเมืองดีเพิ่มขึ้นอีกก็เป็นได้ ... กฏหมายใกล้ตัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น