กฎหมายใกล้ตัว เรื่อง "กระทำโดยเจตนา"

   "บุคคล จักต้องได้รับโทษในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา" ประโยคนี้นับว่าเป็นประโยคแรกๆ ของผู้ที่ศึกษากฎหมายที่มีโทษในทางอาญา ได้รับการถ่ายทอดและทำความเข้าใจ ก่อนที่จะนำไปสู่เนื้อหาอื่นๆ ในการศึกษากฎหมาย หลักการดังกล่าวเป็นสิ่งแรกๆ หนังสือคำบรรยายอาญาเกือบครึ่งเล่ม ชั่วโมงเรียนกฎหมายอาญาอีกนับไม่ถ้วน บรรดาเหล่าอาจารย์ต่างพยายามที่จะอธิบายความหมายของหลักการดังกล่าว เพื่อให้ผู้ที่ศึกษากฎหมายได้ทำความเข้าใจกับหลักการของกฎหมาย แต่เชื่อหรือไม่ว่า ผู้ศึกษากฎหมายหากเห็นว่า จะไม่ออกข้อสอบ หรือหากออกก็เกาะเกี่ยวมาเพียงส่วนน้อย จะไม่ทำความเข้าใจ หรือข้ามเนื้อหาในส่วนนั้นไปเลย ซึ่งวิธีการดังกล่าว  เชื่อว่านักศึกษากฎหมายส่วนใหญ่ก็ทำกัน เป็นผลให้การตีความกฎหมายของผู้ที่ไม่เข้าใจหลักการ ไม่เป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมายได้ และยังผลให้มีการตีความกฎหมายไปในทางที่ไม่ถูกต้อง หรือเกิดความคลาดเคลื่อนได้ การศึกษาในระดับที่สูงขึ้น รวมถึงการเปรียบเทียบข้อกฎหมายของต่างประเทศ ประสบการณ์การทำงาน จะทำให้มีความรู้และความเข้าใจในหลักการของกฎหมายมากขึ้น เพียงพอที่จะกล้าวินิจฉัยว่า กรณีใด มีเจตนา หรือกรณีใดเป็นการกระทำที่ขาดเจตนากระทำความผิดในทางอาญา อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของการที่จะนำตัวผู้ที่เรากล่าวหาว่าเขากระทำความผิด ไปฟ้องร้องต่อศาลเพื่อให้ลงโทษได้
   ผู้เขียนขอให้ผู้อ่านศึกษากรณีตัวอย่างต่อไปนี้ เพื่อนำมาเปรียบเทียบข้อกฎหมายว่า ประเด็นดังกล่าว การกระทำของผู้เขียน มีเจตนากระทำความผิดทางอาญาหรือไม่ อย่างไร

   เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘ ผู้เขียนได้ให้ชายคนหนึ่ง สมมุติชื่อว่า นาย ก. กู้ยืมเงิน จำนวน ๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยทำสัญญากู้เงินระหว่างกันไว้ และ นาย ก. นำที่นามาทำกินต่างดอกเบี้ย จำนวน ๒๐ ไร่ ไม่มีการส่งมอบโฉนด เนื่องจาก นาย ก. อ้างว่าติดจำนองที่ ธกส. ผู้เขียนทำสัญญาส่งมอบเงินเรียบร้อย ก็เข้าทำนาต่างดอกเบี้ยต่อเนื่องมาเป็นประจำจนถึงปัจจุบัน
   ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๓ นาย ก. ได้ไปกู้เงินหนี้นอกระบบจากนายทุนท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท กำหนดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๐ ต่อเดือน และนำโฉนดที่ดินดังกล่าวไปมอบไว้แก่นายทุนคนดังกล่าว
   เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๙ นายทุนมาพบผู้เขียน และพูดด้วยถ้อยคำอันแข็งกร้าวว่า "เจ้าของที่ดินติดหนี้เขาจำนวนมาก และปีนี้จะเข้าทำการยึดที่ดิน และเข้าทำนา ถ้าผู้เขียนไม่อยากมีปัญหา และไม่อยากถูกฟ้องร้องต่อศาลด้วย ให้ยอมยกที่ดินให้เสียแต่โดยดี"
   หลังจากโต้แย้งกันนานพอสมควร จนประเมินสถานการณ์ได้แล้วว่า พูดไปคงไม่เกิดประโยชน์อันใด ผู้เขียนจึงพูดกลับด้วยถ้อยคำที่แข็งกร้าวว่า "ที่ดินนี้ ไม่ว่าตอนนี้ หรือต่อไปจะเป็นของใคร ไม่ว่าคุณจะไปฟ้องศาลชนะ จนมีสิทธิบังคับยึดทรัพย์ นาย ก. ก็ตาม ผมยืนยันว่าไม่ออก และใครก็ตามนอกจากคนที่ผมอนุญาต หากเข้ามา ผมจะดำเนินคดีฐานบุกรุกทุกราย" ภายหลังคำพูดออกจากปาก วงสนทนาก็แตกทันที
   จึงเกิดคำถามในทางกฎหมายว่า คำพูดของผู้เขียนได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างไร และสามารถดำเนินคดีกับผู้ที่เข้ามาในพื้นที่ ตามที่ผู้เขียนอ้างหรือไม่?
การบุกรุก เป็นการกระทำความผิดทางอาญา ประมวลกฎหมายอาญา หมวด ๘ ได้บัญญัติความผิดฐานบุกรุก ไว้ในมาตรา ๓๖๒-๓๖๖ ใจความว่า "การเข้าไปครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น หรือกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข" 
   ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ผู้เขียนเข้าไปครอบครองที่ดินโดยชอบ โดยอาศัยสิทธิจากสัญญากู้เงินทำกินต่างดอกเบี้ย การเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว จึงเป็นการเข้าไปโดยชอบ และมีสิทธิในการครอบครองทรัพย์นั้น ผู้เขียนจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก
   เมื่อผู้เขียนครอบครองที่ดินโดยชอบ ย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย อันไม่ให้บุคคลอื่นมารบกวนการครอบครอง การเข้ามาในพื้นที่แม้เพียงก้าวเดีย การปิดทางเข้าออกเหล่านี้ เป็นลักษณะของการรบกวนการครอบครองทั้งสิ้น คำพูดของผู้เขียนที่ว่า "ใครก็ตามนอกจากคนที่ผมอนุญาต หากเข้ามา ผมจะดำเนินคดีฐานบุกรุกทุกราย" จึงมีกฎหมายรองรับ และสามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ และคำว่าทุกรายนั้น กฎหมายไม่ยกเว้นแม้กระทั่งเจ้าของที่ดิน ซึ่งหากเข้ามาในบริเวณพื้นที่ที่ผู้เขียนครอบครองอยู่ โดยที่ผู้เขียนไม่อนุญาต ย่อมเข้าลักษณะการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เขียนทั้งสิ้น ซึ่งประเด็นข้อพิพาทลักษณะนี้ ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ ได้มีคำพิพากษาวางแนวทางการวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑/๒๕๑๒ (ประชุมใหญ่)
แม้ห้องพิพาทจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ของจำเลย แต่เมื่อโจทก์ยังครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นและยังโต้แย้งสิทธิตามสัญญาเช่าอยู่ ถ้าจำเลยเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์โดยปกติสุข จำเลยก็มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ ได้
การที่จำเลยใช้ไม้กระดานตีขวางทับประตูห้องที่โจทก์ครอบครองในขณะที่โจทก์ไม่อยู่ และปิดห้องไว้ ทำให้โจทก์เข้าอยู่ในห้องไม่ได้ เป็นการล่วงล้ำเข้าไปในอำนาจการครอบครองของโจทก์ ถือได้ว่าเข้าไปกระทำการรบกวนการครอบครองของโจทก์โดยปกติสุข ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๖๓/๒๕๑๘
โจทก์เช่าบ้านของ ส. ภรรยาจำเลยที่ ๑ แล้วต่อมา ถูก ส. ฟ้องขับไล่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ขับไล่โจทก์ออกจากบ้านนั้น โจทก์ฏีกา และศาลฎีกายังไม่มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับ
ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา โจทก์ไปต่างจังหวัด และใส่กุญแจบ้านพิพาทไว้โดยฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลให้ จำเลยที่ ๑ ได้ให้จำเลยที่ ๒ ตัดหูร้อยกุญแจบ้านออก และให้จำเลยที่ ๒ เข้าไปอยู่อาศัยในบ้านดังกล่าว ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าหลังจากอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ขับไล่โจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นได้มีบังคับให้โจทก์ออกจากบ้านพิพาทภายใน ๑ เดือน แต่ในวันอ่านคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ไม่ได้มาศาล และไม่ได้ลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับไว้ ทั้งเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ไม่ได้นำส่งคำบังคับไปยังโจทก์ ซึ่งเป็นลูกหนี้ ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๗๒ โจทก์จึงยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาท และย่อมเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานบุกรุกได้
โจทก์ถูกศาลพิพากษาให้ขับไล่ ได้ออกจากบ้านพิพาทและขนย้ายสิ่งของออกไปหมดสิ้นแล้ว แต่เมื่อยังไม่ส่งมอบบ้านพิพาทคืน โดยได้ใส่กุญแจไว้และฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลให้ ทั้งโจทก์ยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาท ดังนี้ ถือว่าโจทก์ครอบครองบ้านพิพาทอยู่โดยปกติสุข การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ให้จำเลยที่ ๒ ตัดหูร้อยกุญแจบ้าน และให้จำเลยที่ ๒ เข้าไปอยู่อาศัย จึงเป็นการใช้ให้จำเลยที่ ๒ เข้าไปกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒,๘๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น